Monday, March 30, 2009

น้ำดอกอัญชันและพันช์น้ำดอกอัญชัน


วิธีทำน้ำเชื่อม
1. น้ำเปล่า 500 กรัม
2. น้ำตาลทราย 500 กรัม
น้ำดอกอัญชัน
นำดอกอัญชันสด 100 กรัม ล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อ เติมน้ำเปล่า 2 ถ้วย ต้มจนเดือด ปิดฝาทิ้งไว้ ประมาณ 2-3 นาที แล้วกรองดอกอัญชันขึ้นจากหม้อต้ม
ส่วนผสมน้ำดอกอัญชัน
1. น้ำดอกอัญชัน 1 ถ้วย
2. น้ำเชื่อม 4 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
- นำน้ำดอกอัญชัน น้ำเชื่อม และน้ำผึ้งผสมรวมกัน ชิมรสตามชอบ หรืออีกวิธีหนึ่ง นำดอกอัญชันตากแห้งประมาณ 25 ดอก ชงในน้ำเดือด 1 ถ้วย ดื่มแทนชา

พันช์น้ำดอกอัญชัน
ส่วนผสม
1. น้ำโซดาแช่เย็น 1 ขวด
2. น้ำดอกอัญชัน ครึ่งถ้วย
3. น้ำเชื่อม 6 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำมะนาว ครึ่งถ้วย
วิธีทำพันช์น้ำดอกอัญชัน
- นำน้ำดอกอัญชัน น้ำเชื่อม น้ำผึ้ง แะละน้ำมะนาวผสมให้เข้ากัน เติมน้ำโซดา ชิมและปรับรสชาติตามชอบ ก่อนเสริ์ฟเติมน้ำแข็งเกล็ดละเอียด

ข้อแนะนำการดื่ม
1. ควรดื่มทันทีที่ปรุงเสร็จ เพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารและยา
2. การดื่มน้ำสมุนไพรชนิดเดียวติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ อาจทำให้เกิดการสะสมสารบางชนิดที่มีฤทธิ์ต่อร่างกายได้
3. การดื่มน้ำสมุนไพรร้อน ๆ ที่มีอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียสขึ้นไป จะทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสียสภาพภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ และอาจทำให้มีการดูดซึมสารก่อมะเร็ง จุลินทรีย์ ฯลฯ ได้ง่าย
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับจากดอกอัญชันมีหลายประการดังนี้
1. เป็นเครื่องดื่มดับกระหาย มีสารแอนโธไซยานิน มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิต้านทาน
2. ใช้เป็นสีผสมอาหาร โดยเฉพาะในขนมไทย เช่น ขนมชั้น ขนมน้ำดอกไม้
3. สารแอนโธไซยานิน มีอยู่มากในดอกอัญชัน มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็น เนื่องจากสารตัวนี้จะไปเพิ่มการไหลเวียนในหลอดเลือดเล็ก ๆ เช่น หลอดเลือดส่วนปลาย ทำให้กลไกที่ทำงานเกี่ยวกับการมองเห็นแข็งแรงขึ้น เพราะมีเลือดไหลเวียนมาเลี้ยงมากขึ้น ในขณะนี้ก็มีการศึกษาวิจัยทางคลินิก เกี่ยวกับความสามารถของแอนโธไซยานิน ในการเพิ่มประสิทธิภาพของดวงตา เช่น ตาเสื่อมจากโรคเบาหวาน โรคต้อหิน โรคต้อกระจก เป็นต้น

Sunday, March 29, 2009

น้ำจับเลี้ยง


อาการร้อนในเกิดขึ้นจากสภาวะที่ร่างกายขาดความสมดุล เช่นถ้าคุณนอนดึก พักผ่อนไม่พอ หรือกินแต่ของที่ทำให้ร้อน ของทอด กินน้ำน้อยก็ทำให้เกิดร้อนในได้ ดังนั้นอาการร้อนในถ้าไม่รุนแรง รักษาร่างกายให้คืนสมดุลได้ก็หายเองค่ะ ตามสูตรไทย ถ้าร้อนในให้กินยาเขียว ยาขม กินผัก ดื่มน้ำมากๆ ส่วนคนจีนก็แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ คู่กับกินพืชผักผลไม้ที่มีธาตุเย็น เช่น ฟัก แตง ฯลฯ แล้วก็ต้มจับเลี้ยงดื่ม

น้ำจับเลี้ยงมีรสชาติอร่อย หอมหวานชุมคอ พอมีขายอยู่บ้างแต่ไม่ค่อยแพร่หลาย ดังนั้นถ้าคิดต้มดื่มเอง ก็แนะนำให้ไปที่ร้านขายยาจีน (จับเลี้ยงเป็นของพื้นๆ มีขายทุกร้าน) บอกว่าซื้อจับเลี้ยง 1 ห่อ เขาจะจัดสมุนไพรต่างๆให้คุณจนครบสูตร แต่ก็ควรทราบไว้ว่าประกอบไปด้วยสมุนไพรดังนี้..ดอกงิ้ว ใบบัว รากหญ้าคา ใบเพกา เก็กฮวย รากบัว โหล่เกง เทียงฮวยฮุ่ง แซตี่ แห่โกวเช่า หล่อฮั่งก้วย สนนราคาโดยประมาณ 30 - 50 บาท ต่อห่อ ค่ะ

วิธีต้ม

ให้ใส่จับเลี้ยงลงในหม้อต้ม เติมน้ำให้ท่วม ต้มจนเดือดไฟอ่อนๆประมาณ 20 นาที ถ้างวดมากให้เติมน้ำลงไปพอประมาณ เสร็จแล้วกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำตาลทรายแดง ความหวานตามชอบค่ะ

เทคนิค
น้ำจับเลี้ยงที่ได้เหมาะแก่การดื่มไม่ควรเข้มข้นมาก และควรต้มเพียงรอบเดียว ดื่มวันละ 3 - 4 แก้ว

สรรพคุณ
แก้ร้อนในที่มาจากกระเพาะร้อน และปอดร้อน ที่ทำให้มีอาการทางระบทางเดินอาหาร มีแผลในปาก ปากลิ้นเปื้อยมีฝ้า ขมคอ เจ็บคอ เสียงแหบ คอแห้ง ไอ ขับเสมหะ ตาร้อนผ่าว ปัสสาวะคล่องขึ้น

Saturday, March 28, 2009

น้ำแครอท


ส่วนผสม
แครอทหั่นเล็ก ๆ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำเชื่อมเข้มข้น 8 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำต้มสุก 2 แก้ว
วิธีทำ
1. ล้างแครอทให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เติมน้ำ ปั่นให้ละเอียด
2. ผสมน้ำเชื่อม น้ำ มะนาว เกลือ เติมน้ำตามส่วน ผสมให้ เข้ากัน ใส่น้ำแข็งก่อนเสิร์ฟ

Friday, March 27, 2009

น้ำแคนตาลูป


แคนตาลูป เป็นพืชล้มลุก มีลักษณะเป็นไม้เถา เถาและก้านใบมีขนนิ่ม เถาเป็นเหลี่ยม ใบเหลี่ยมมน ดอกตัวผู้และตัวเมียอยู่คนละดอก มีผลกลมรี ผิวผลมีสีเหลือง เนื้อในมีสีเหลืองอมส้ม

ส่วนผสม
เนื้อแคนตาลูป 1 ถ้วยตวง
น้ำต้มสุก 2 ถ้วยตวง
น้ำเชื่อม 1/2 ถ้วยตวง

วิธีทำ
นำแคนตาลูปมาปอกเปลือก ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำมาใส่เครื่องปั่น เติมน้ำสุก เติมน้ำเชื่อม ปั่นจนเนื้อแคนตาลูปละเอียด จะได้น้ำแคนตาลูปส้มอ่อนๆ ขุ่นข้น รสชาติหอมหวาน น่าดื่ม

ประโยชน์และคุณค่าทางสมุนไพร
- แคนตาลูป มีน้ำตาล มีวิตามินซีเล็กน้ออย มีวิตามินเอสูงมาก มีคัลเซียม ฟอสฟอรัส
- ผลสุก รับประทานเป็นผลไม้ รสหอมหวาน

Thursday, March 26, 2009

น้ำเก๊กฮวย


เก๊กฮวย เป็นไม้ดอกตระกูลเดียวกับทานตะวัน ปลูกมากทางภาคเหนือ เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นตรง ลักษณะใบเป็นรูปใข่ ปลายใบแหลม ขอบเว้า ออกดอกเป็นกระจุก ดอกสีเหลืองขนาดเล็ก นำมาตากแห้งเก็บไว้ได้นาน

ส่วนผสม
ดอกเก๊กฮวย 1 ถ้วยตวง
น้ำ 2 ถ้วยตวง
น้ำตาลกรวด 1/2 ถ้วยตวง

วิธีทำ
ใช้ดอกเก๊กฮวยแห้ง มาล้างให้สะอาด เติมน้ำลงในหม้อต้ม ใส่เก๊กฮวยลงในหม้อ ต้ม 2 นาที จนน้ำที่ต้มเป็นสีเหลือง แล้วนำมากรอง เอากากออก เติมน้ำตาลลงไป ต้มจนน้ำตาลละลาย จะได้น้ำเก๊กฮวยที่มีรสชาติหวานหอมชื่นใจ

ประโยชน์และคุณค่าทางสมุนไพร
- เก๊กฮวยพันธุ์เบญจมาศหนู มีน้ำมันหอมมระเหย มีรสขม
- ดอก เป็นยาระงับอาการปวดศีรษะ ไข้หวัด ขับลมในลำไส้ บำรุงประสาท
- ดอกและใบ ต้มละลายนิ่ว
- ใบและต้นใช้รักษาโรคผิวหนังได้
- เก๊กฮวยพันธุ์เบญจมาศสวน มีน้ำมันหอมมระเหย มีสารฝาดสมาน
- ดอก ช่วยย่อยและเจริญอาหาร เป็นยาระบบาย แก้กระหายน้ำ แก้อาการร้อนใน
- ใบ แก้ปวดศีรษะ
- ต้น ผสมกับพริกไทยดำรักษาโรคโกโนเรียย ถ้าสกัดเอาน้ำจากต้นสด ช่วยลดอาการอักเสบ

Wednesday, March 25, 2009

แตงโมปั่น


ส่วนผสม
เนื้อแตงโม 50 กรัม ( 5 ช้อนคาว)
น้ำเชื่อม 15 กรัม ( 1 ช้อนคาว)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม (1/5ช้อนชา)
น้ำเปล่าต้มสุก 150 กรัม (10 ช้อนคาว)
น้ำมะนาว นิดหน่อย

วิธีทำ
นำเนื้อแตงโม น้ำ น้ำเชื่อม เกลือ ใส่ในเครื่องปั่น นำไปปั้นให้ละเอียด ชิมรสตามชอบ
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และวิตามินซี ช่วย ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
คุณค่าทางยาช่วยขับปัสสาวะ ปากเป็นแผล แก้ร้อนใน แก้ กระหายน้ำ

แตงโม ผลไม้ลูกกลม ลูกรี ตลอดจนลูกทรงกระบอก เป็นพืชไม้เถาตระกูลเดียวกับพืชตระกูลแตง เช่น แตงกวา แตงแคนตาลูป และฟัก แตงโมเป็นพืชเมืองร้อนที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกาตอนเหนือและตะวันออกกลาง มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Citrullus vuigaris ลำต้นเป็นเถาเลื้อยแผ่ไปตามพื้นดิน ใบมีลักษณะเว้าลึก 3-4 หยัก ก้านใบยาว ทั้งเถาและใบมีขน

แตงโม มีมากมายหลายพันธุ์ให้เลือกรับประทาน พันธุ์ที่นิยมกันมาก ก็มีแตงโมจินตหรา แตงโมตอปิโดและแตงโมที่มีเนื้อสีเหลือง หรือแตงโมน้ำผึ้ง ส่วนใครที่ไม่ชอบรับประทานแตงโม เพราะรำคาญเมล็ดอันมากมายของมัน เดี๋ยวนี้เขาก็มีแตงโมพันธุ์ไม่มีเมล็ดให้เลือกซื้อเหมือนกัน แต่สนนราคาก็แพงน่าดู

แตงโม ไม่เพียงมีรสหวานและเย็นเท่านั้น ยังมีสารอาหารต่างๆที่มีประโยชน์ ทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซึ่งมีมากเป็นพิเศษในเนื้อแตงโมที่มีสีแดงๆ

แตงโม เป็นผลไม้ฉ่ำน้ำ มีความเย็น รสหวาน รับประทานเป็นผลไม้แก้กระหายคลายร้อนได้อย่างดี หรือนำมาทำเป็นน้ำแตงโมปั่น น้ำแตงโมเชค ดื่มแก้กระหาย หรือดื่มเป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ ดื่มกันได้ตลอดทั้งวัน อาจเป็นช่วงระหว่างมื้ออาหาร หรือก่อนนอนก็ได้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อ่อนเพลียมากๆ เช่น ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะพักฟื้น หรือหลังจากการผ่าตัด เพราะน้ำแตงโมช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้น

น้ำแตงโม ยังช่วยทำให้ร่างกายขับปัสสาวะได้ดี จึงมีผลช่วยล้างไต ล้างกระเพาะปัสสาวะ ไม่ให้ร่างกายมีการสะสมกรดยูริค อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคไขข้อ โรคเกาต์ สำหรับคนผิวหนังแห้งกร้าน อันเนื่องมาจากภาวะเลือดเป็นกรด เพราะกินเนื้อสัตว์ ของทอด ขนมหวาน อาหารแป้งขัดขาว และเครื่องดื่มพวกกาแฟ โคล่ามากเกินไป น้ำแตงโมช่วยได้ นอกจากนี้ในเนื้อแตงโมยังมีเอ็นไซม์ที่ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารอีกด้วย ก่อนกินข้าวก็ดื่มน้ำแตงโมสักแก้วจะได้เจริญอาหาร

การเลือกซื้อแตงโม ต้องซื้อที่มีผิวเปลือกเรียบ ไม่เป็นรอย รูปทรงสวยงาม ถ้าเลือกซื้อที่ผ่าแล้วได้ยิ่งดี เพราะจะได้เห็นลักษณะของเนื้อแตงโมได้ เนื้อแตงโมต้องมีสีแดง เนื้อเนียน ไส้ไม่ส้ม มีรสหวานเย็น

Tuesday, March 24, 2009

แคนตาลูป.. น้ำผลไม้ลดไข้


แคนตาลูป ผลไม้รูปทรงกลมๆ รีๆ เนื้อมีสีส้มสวย รสหวานเย็น เป็นพืชล้มลุกประเภทไม้เลื้อย ซึ่งอยู่ในตระกลูเดียวกันกับแตงโมไทย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cucumis melo var. cantalupensis แคนตาลูปนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "แตงคุณหนู" เพราะเป็นผลไม้ที่ต้องดูแลเอาใจใส่กันเป็นพิเศษ ตั้งแต่หยอดเมล็ดจนได้ผลกันเลย

แคนตาลูปได้เข้ามาปลูกในบ้านเราได้ประมาณ 20 กว่าปีมานี้เอง แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ด้วยเนื้อที่มีรสชาติเยี่ยม เสน่ห์ของแคนตาลูปอยู่ที่กลิ่นหอม เนื้อมีความกรอบเมื่อเคี้ยว ประกอบกับรสหวาน ยิ่งถ้ากินตอนแช่เย็นยิ่งอร่อยชื่นใจ นอกจากกินเป็นผลไม้สดแล้ว แคนตาลูปยังนิยมนำมาทำน้ำผลไม้เครื่องดื่มสุขภาพได้อย่างดีเยี่ยม

ในแคนตาลูปสุกครึ่งลูก มีสารอาหารต่างๆ มากมาย มีแคลเซียม 38 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 44 มิลลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม โซเดียม 33 มิลลิกรัม โปตัสเซียม 682 มิลลิกรัม วิตามินเอมีมากถึง 9,240 I.U. ไนอาซีน 1.6 มิลลิกรัม และวิตามินซีก็มีมากถึง 90 มิลลิกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับส้มเขียวหวานเลยทีเดียว และยิ่งถ้าซื้อแคนตาลูปในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลของแคนตาลูป แคนตาลูป แคนตาลูปจะมีสารอาหารจำพวกไรโบฟลาวิน ไนอาซิน ไทอามิน และวิตามินซีสูงเป็นพิเศษ

น้ำแคนตาลูปนอกจากดื่มแก้กระหายคลายร้อน ช่วงเดือนเมษายนได้อย่างดีแล้ว ยังช่วยลดไข้ เพราะแคนตาลูปเป็นผลไม้เย็น ส่วนน้ำตาลและเอ็นไซม์ที่มีอยู่ในแคนตาลูป ยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้ และบรรเทาอาการท้องปั่นป่วนจากการรับประทานอาหารไม่ตรงตามเวลาได้

การทำน้ำแคนตาลูปให้ได้รสหวานเย็นชื่นใจนั้น ต้องเลือกซื้อแคนตาลูปที่สุกกำลังดี ไม่อ่อนเกินไป แคนตาลูปอ่อนจะไม่มีกลิ่นหอม ถ้าสุกเกินไป เมื่อเขย่าดูจะมีน้ำอยู่ข้างใน แสดงว่าไส้ล้ม เลือกผลขนาดกลาง ซึ่งมีน้ำหนักประมาณสักหนึ่งกิโลกรัมก็ใช้ได้แล้ว นอกจากดูน้ำหนักแล้ว ผิวของแคนตาลูปก็มีส่วนสำคัญ ผิวต้องเรียบตึง สวย ไม่เป็นร่องหยัก เลือกที่สีนวลเหมือนเปลือกไข่

น้ำแคนตาลูป
วิธีทำ
1. แคนตาลูปปอกเปลือกเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็กปริมาณ 1 ถ้วย
2. แตงโมเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็ก 1/2 ถ้วย
3. น้ำส้มคั้น 1/2 ถ้วย
4. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น ปั่นด้วยความเร็วสูงจนเนื้อเนียนเข้ากันดี เทใส่แก้ว ดื่มทันที

น้ำแคนตาลูปผสม
วิธีทำ
1. แคนตาลูป 1 ลูก ผ่าครึ่ง ใช้ช้อนตักเอาเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมไม่ต้องใหญ่มาก นำไปปั่นจนเนื้อแตงเนียน พักไว้
2. นำน้ำนมถั่วเหลือง 1 ถ้วย น้ำผึ้งหรือน้ำตาลสีรำ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำแข็งเกล็ด 1 1/2 ถ้วย ใส่ลงในโถปั่น ปั่นด้วยความเร็วสูง ประมาณ 1 นาที แล้วจึงใส่น้ำแคนตาลูปลงไปปั่นรวมกัน นานอีก 1 นาที จนเข้ากันดี รินใส่แก้ว

Monday, March 23, 2009

เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มสมุนไพร


เครื่องดื่มสมุนไพร คือ เครื่องดื่มที่เตรียมจากส่วนต่างๆ ของพืช ไม่ว่าจะได้มากจากการคั้นน้ำจากผลไม้สด หรือเตรียมจากส่วนอื่นๆ เช่น เหง้า ใบ ดอก เมล็ด

เริ่มจาก นมถั่วเหลือง หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า น้ำเต้าหู้เป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่ทำมาจากเมล็ดถั่วเหลือง มีโปรตีนสูง ช่วยบำรุงร่างกายให้ เจริญเติบโตและแข็งแรง ช่วยบำรุงสายตา เนื่องจากมีวิตามินเอ มาก และยังเป็นแหล่งเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย

น้ำใบบัวบก ได้จากการคั้นน้ำจากใบและต้นสดของบัวบก ใช้ดื่มเป็นยาบำรุง แก้อ่อนเพลีย ช่วยลดอาการอักเสบ ช้ำใน ช่วยให้แผล หายเร็วขึ้น และยังมีรายงานว่าใช้รักษาโรคเรื้อนและซิฟิลิสได้ด้วย

น้ำเก๊กฮวย ก็เป็นเครื่องดื่มอีกชนิดหนึ่งที่เราสามารถหาดื่มได้ง่าย วิธีทำก็คือนำดอกเก๊กฮวยที่ตากแห้งแล้วมาต้มกับน้ำแล้วเติมน้ำตาล เพื่อให้มีรสหวาน สรรพคุณของเก๊กฮวย ช่วยดับพิษร้อน แก้ร้อนใน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าดอกเก๊กฮวยใช้เป็นยาแก้ ปวดท้อง และเป็นยาระบายได้อีกด้วย

น้ำขิง ได้จากการนำเหง้าขิงอ่อนมาปอกเปลือก ทุบพอแตกหรือผ่าเป็นแว่นบางๆ เติมน้ำตาลทรายเล็กน้อย น้ำขิงมีสรรพคุณช่วยขับลม ย่อยอาหาร แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ในปัจจุบัน สามารถหาซื้อขิงผงสำเร็จรูปได้ในท้องตลาด ขิงผงสำเร็จรูปเพียงเติมน้ำร้อนลงไป ละลาย ก็ดื่มได้ทันที

น้ำมะเขือเทศ ได้จากการนำผลมะเขือเทศสุกที่ล้างสะอาดมาปั่นให้ละเอียด ผสมน้ำเชื่อมและเกลือเพื่อแต่งรส ช่วยให้ร่างกายสดชื่น ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และยังสามารถลดความดันได้อีกด้วย สารอาหารที่สำคัญในน้ำมะเขือเทศ คือ วิตามินเอ และซี รวมถึงมีโปแตสเซียมอีกด้วย

น้ำกระเจี๊ยบ เป็นเครื่องสมุนไพรที่ได้จากกลีบเลี้ยงของดอก ซึ่งมีกรดอินทรีย์ต่างๆ ที่ทำให้น้ำกระเจี๊ยบมีรสเปรี้ยว นอกจากนี้ยังมี แร่ธาตุต่างๆ มากมาย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และวิตามินซี เป็นต้น น้ำกระเจี๊ยบมีประโยชน์ช่วยแก้ กระหายน้ำทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลง ทำให้ร่างกายสดชื่น ช่วยย่อยอาหารโดยเฉพาะในกรณีน้ำดีไม่ปกติ ช่วยขับปัสสาวะ ลดความดัน ช่วยระบายอ่อนๆ และสามารถใช้รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน กรดอินทรีย์ใน น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติลดไขมันในเลือดได้

น้ำมะนาว ซึ่งมีรสเปรี้ยว นิยมนำมาผสมกับน้ำเชื่อมและเกลือเพื่อปรุงรสหวานเค็ม ทำเป็นเครื่องดื่มเย็น ดื่มแก้กระหาย น้ำทำให้ชุ่มคอ แก้คอแห้งบำรุงเสียงและแก้เลือดออกตามไรฟัน

น้ำมะตูม เป็นเครื่องดื่มที่ได้จากการต้มหรือชงผลมะตูมอ่อนที่ตากแห้ง แล้วผ่าเป็นแว่นบางๆ แล้วเติมน้ำตาลทราบเพื่อเพิ่มรสหวาน สรรพคุณของน้ำมะตูม สามารถแก้ท้องเสียได้ โดยเฉพาะในเด็กที่เป็นโรคท้องร่วงเรื้อรังหรือเป็นโรค ทั้งนี้ เพราะในผลมะตูม มีสารเพคตริน (pectin) ซึ่งจะไปรวมกับพิษของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดท้องร่วง นอกจากนี้ยังมีสารเมือก สารแทนนิน และสารรสขม บางคนนิยมดื่มน้ำมะตูมแทนน้ำชา

น้ำอ้อย เป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มกันอย่างแพร่หลาย นิยมดื่มเป็นเครื่องเย็น โดยผสมน้ำแข็งหรือแช่เย็น แก้กระหาย ทำให้ชื่นใจ สารประกอบที่สำคัญในน้ำอ้อย ได้แก่ น้ำตาล ซูโครส ซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย เนื่องจากจะถูกย่อยและเผาผลาญ เป็นพลังงานได้รวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยขับปัสสาวะและเป็นยาเย็นได้อีกด้วย

น้ำมะพร้าวอ่อน เป็นน้ำที่ได้จากผลมะพร้าวอ่อน มีความบริสุทธิ์มาก ปราศจากเชื้อโรค มีคุณค่าทางอาหารสูง แก้กระหายน้ำได้ ลดไข้ เป็นยาเย็น ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงร่างกาย เป็นยาระบายอ่อนๆ และฆ่าพยาธิในลำไส้ มีรายงานว่าสามารถให้ทารกดื่มแทนนมได้ หญิงมี ครรภ์ดื่มน้ำมะพร้าวแล้วจะช่วยบำรุงทารกในครรภ์ ในน้ำมะพร้าวอ่อน จะมีปริมาณน้ำตาลซูโครสมากกว่าน้ำมะพร้าวแก่และ นอกจากนี้ ในน้ำมะพร้าวอ่อนยังมีไวตามินบี คอมเพล็กซ์ โปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุต่างๆ มากมาย เช่น โปแตสเซียม ธาตุเหล็ก เป็นต้น

น้ำตาลสด น้ำตาลสด เป็นเครื่องดื่มที่มีรสหอมหวาน บำรุงร่างกายให้สดชื่น ชุ่มคอ น้ำตาบสดส่วนใหญ่ที่ขายกันในปัจจุบัน มักจะไม่ใช่น้ำตาลสดแท้ แต่ทำจากน้ำตาลปีปผสมาน้ำ ตั้งไฟ แล้วเติมปูนแดงเล็กน้อย เพื่อทำปฎิกิริยากับกรด อินทรีย์ในน้ำตาลปีป ให้น้ำตาลซูโครสคงสภาพ แต่งกลิ่นด้วยใบเตยหอมเคี่ยวน้ำตาลให้เดือด แล้วจะนำมา กรองผ่านผ้าขาวบาง น้ำตาลจะได้มีสี กลิ่น รส คล้ายน้ำตาลสด แต่ไม่หอมเท่าน้ำตาลสด ในน้ำตาลสดมีวิตามินบีรวม อยู่ด้วย ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น แก้กระหายน้ำ เป็นยาเย็น

น้ำมะยม สามารถทำได้โดยใช้ผลมะยมแก่มาล้างให้สะอาดแล้วนำไปใส่น้ำสองเท่าของมะยม ต้มนาน 40 นาที หรือจนกว่า เนื้อมะยมจะนิ่ม จึงเทใส่กระชอน ยีเนื้อมะยมบนกระชอนให้ลอดรู กระชอนลงไป นำน้ำที่กรองมาได้ไปเติมน้ำตาล ทราบ แล้วต้มอีกที จะได้น้ำมะยมที่มีรสเปรี้ยวหวาน ส่วนเนื้อมะยมก็สามารถทำเป็นแยมได้ น้ำมะยม มีวิตามินซี ซึ่งมีประโยชน์ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน และเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้

นอกจากเครื่องดื่มชนิดต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ยังมีน้ำผลไม้อีกหลายชนิดที่นิยมดื่มกันแพร่หลาย เช่น น้ำฝรั่ง น้ำแตงโม น้ำมะขาม น้ำองุ่น น้ำลำไย น้ำทับทิม น้ำรากบัว น้ำบ๊วย ฯลฯ

จะเห็นได้ว่าเครื่องดื่มสมุนไพรให้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประโยชน์ทางตรง คือ ช่วยดับกระหาย คลายร้อย ทำให้สดชื่น มีรสอร่อย ส่วนประโยชน์ทางอ้อม ก็ยังเป็นยาบำรุงรักษาโรค ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ บำรุงร่างกาย เป็นยา ระบาย หรือแก้ท้องเสีย เป็นต้น นอกจากนั้นเครื่องดื่มสมุนไพรหลายชนิด ยังสามารถเตรียมได้ง่าย หรือหาดื่มได้ทั่วไป และประโยชน์ที่สำคัญอีกอย่างคือ เครื่องดื่มสมุนไพรไม่ต้องแต่สีด้วยสีสังเคราะห์ สีของเครื่องดื่มเป็นสีจากพืชโดยตรง จึงไม่เป็นพิษแก่ร่างกาย เว้นแต่ว่าหากท่านผู้ฟังซื้อมาดื่ม ก็ควรเลือกเครื่องดื่มที่เป็นสีธรรมชาติ ไม่ควรเห็นแก่ความ น่าดื่ม เพื่อจะให้ได้ประโยชน์จากเครื่องดื่มสมุนไพรมากที่สุด

Sunday, March 22, 2009

Midori Margarita


ส่วนผสม Midori margarita
Sauza Extra Gold Tequila 1 ออนซ์
Midori Melon Liqueur 1/2 ออนซ์
Sweet&sour mix 2 ออนซ์
ส่วนผสม Sweet & sour mix
น้ำตาล 1 ถ้วย
น้ำไลม์สด 1 ถ้วย
น้ำเลมอนสด 1 ถ้วย
น้ำสะอาด 1 ถ้วย
** ส่วนผสมของนี้เก็บไว้ใช้ได้อีก เพราะ Midori Margarita ใช้แค่ 2 ออนซ์
วิธีทำ sweet & sour mix
1. ผสมน้ำตาลและน้ำให้เข้ากัน คนจนน้ำตาลละลาย
2. เติมเลมอนและไลม์ แล้วนำไปแช่เย็นไว้
วิธีทำ Midori Margarita
1. เขย่าน้ำแข็งเข้ากับส่วนผสมทั้งหมด แล้วรินใส่ในแก้วมาตินี่ที่เตรียมไว้
2. ประดับตกแต่งแก้วให้สวยงามด้วยผลส้มที่หั่นเป็นรูปลิ่ม หรือจะใช้ผลเมลอนก็ได้

Saturday, March 21, 2009

Fruit Punch


ส่วนผสม
น้ำสัปปะรด 2 ออนซ์
น้ำส้ม 2 ออนซ์
น้ำมะนาว 1/2 ออนซ์
น้ำหวานทับทิม 1 ออนซ์
วิธีทำ
1. ใส่ใส่วนผสมทั้งหมดที่เตรียมไว้ลงเชคเกอร์ (ถ้าไม่มีใช้แก้วพลาสติกที่มีฝาปิดแทนก็ได้)
2. ใส่น้ำแข็งก้อนเกือบเต็มเชคเกอร์ เขย่าแรงๆจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน
3. รินใส่แก้ว

Friday, March 20, 2009

Blue Kamigaze


เริ่มต้นสัปดาห์ของเครื่องดื่มหลังจากเอาเมนูอาหารมาให้ทำแล้ว ตอนนี้ขอเป็นเรื่องเกี่ยวกับเมนูเครื่องดี่มบ้าง
ส่วนผสม
vodka 1
Triple Sec 1/2 ออนซ์
Blue curciao 1/2 ออนซ์
Lemon juice 2 ออนซ์

วิธีทำ
1.นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ในเชคเกอร์
2.ใส่นำแข็งนิดหน่อย
3.เขย่าให้เข้ากันซัก 15 วินาที
4.เทใส่แก้ว พร้อมประดับด้วยเชอรี่สีสวย

Wednesday, March 18, 2009

หลนปลาร้า


ก่อนอื่นเลือกซื้อปลาร้า จะให้ดีควรเป็นปลาช่อน เพราะเนื้อมาก และไม่ค่อยมีก้างมาติดคอ เลือกขนาดตัวกลางๆ ดูลักษณะเนื้อนิ่ม แต่ไม่เละ อย่าเลือกปลาร้าตัวแข็ง เพราะเขาทำไว้นานแล้ว กระทั่งเค็มเกินไป เวลานำไปปรุงรสไม่อร่อย อีกทั้งต้องพินิจพิจารณาจากความสะอาดด้วย ทั้งภาชนะ และวัตถุดิบ

จากนั้น แวะไปร้านขายมะพร้าวขูดโดยให้ผู้ขายคั้นกะทิให้เรียบร้อยประมาณ 1 กิโล แต่ให้คั้นน้ำน้อยๆ ถ้าจะให้ดี ซื้อมะพร้าวแก่เป็นลูกๆ แล้วมาปอก ขูด และคั้นด้วยตัวเอง รับรองค่ะว่าสะอาด ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวสารกันบูดและสารตกค้างต่างๆ

เลือกผักเคียง อาทิ แตงกวา มะเขือ ถั่วฝักยาว ถั่วพู ใบบัวบก มะระขี้นก ขิงอ่อน ฯลฯ และอย่าลืมเลือกซื้อผักชีไทย/ฝรั่ง ต้นหอม พริกอ่อน พริกเหลือง หัวหอมแดง ตะไคร้ ใบมะกรูด มาใส่โรยหน้า

ได้เครื่องปรุงครบแล้ว กลับเข้าครัว เริ่มสู่กระบวนการปรุง นำกะทิคั้นเรียบร้อยแล้วใส่ลงในภาชนะ ทุบตะไคร้ 2 ต้น แล้วหั่นเป็นท่อนๆ ใส่ลงไป พร้อมใบมะกรูดฉีก และรากผักชีตำพอแหลก 3-5 ราก กับหัวหอม 3 หัว นำปลาร้าลงไป แล้วตั้งไฟให้เดือด

จากนั้นลดไฟลง ค่อยๆ เคี่ยวกะทิและปลาให้เละ ใช้ทัพพียีเนื้อปลาให้แตกออก และดึงก้างปลาชิ้นใหญ่ช่วงหลังออก เคี่ยวกะทั่งกะทิเริ่มงวดลง ใส่น้ำตาลประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ชิมรส ถ้าไม่เค็มปรุงด้วยเกลือ สุดท้าย ใส่พริกอ่อน พริกเหลือง ผักชีโรยหน้า ปล่อยให้เดือดอีกครั้ง รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ พร้อมผักเคียง ถ้าจะให้ดี มีเนื้อทอด หมูทอด ปลาทอด ร่วมด้วย

Tuesday, March 17, 2009

หลนกุ้งสด


เครื่องปรุง
กุ้งชีแฮ้ 500 กรัม
มะพร้าวขูดขาว 500 กรัม
หมูสับ 1/4 ถ้วยตวง
หอมแดงซอย 1/2 ถ้วยตวง
พริกเหลือง 3-4 เม็ด
น้ำมะขามเปียก น้ำตาล เกลือ
ผักสด สำหรับแกล้ม เช่น แตงกวา มะเขือ ขมิ้นขาว

วิธีทำ
1. กุ้งปอกเปลือกสับหยาบๆปนกับหมู
2. มะพร้าวคั้นให้ได้กะทิ 3 ถ้วยตวง ตั้งไฟอ่อนๆ ช้อนเอาแต่กะทิ
3. หอมแดงซอยบางๆ พริกเหลืองหั่นเป็นท่อน
4. นำกะทิที่ได้ตั้งไฟ ใส่หมูและกุ้งลงคนจนสุก ถ้าข้นไปให้เติมน้ำที่เหลือจากการช้อนกะทิขึ้น (อย่าเติมมาก เพราะเดี๋ยวน้ำจากหมูและกุ้งจะออกมาเวลาหลน)
5. พอหมูและกุ้งสุกใส่หอมซอยและพริกเหลือง พอเดือดปรุงรสด้วยเกลือ น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ ชิมให้ออกรสเหวาน เค็ม เปรี้ยว ยกลง รับประทานกับผักสด โรยพริกไทยป่น เสิร์ฟขณะร้อน

Monday, March 16, 2009

หมูแฮมสอดไส้เห็ดเข็มทอง


ส่วนผสม
หมูแฮม (หั่นแผ่นบาง) 250 กรัม
เห็ดเข็มทอง 150 กรัม
หน่อไม้ฝรั่ง 100 กรัม
ซอสมะเขือเทศ 50 กรัม
น้ำซุปไก่ 100 กรัม
ซีอิ๋วขาว 10 กรัม
เนย 50 กรัม
แป้งผสมเนย 5 กรัม
เกลือ 5 กรัม
พริกไทยดำ 3 กรัม
ผงปรุงรส 5 กรัม
หอมแดง
ไม้เสียบลูกชิ้น

วิธีทำ
1. ห่อเห็ดเข็มทองและหน่อไม้ฝรั่งด้วยหมูแฮม และเสียบไม้ลูกชิ้น แล้วนำไปทอดให้สุก
2. ทำน้ำซอส โดยนำกระทะตั้งไฟร้อนพอประมาณ ใส่เนย หอมแดง ผัดให้หอม ใส่ซอสมะเขือเทศ
3. น้ำซุปไก่ ซีอิ๋วขาว เคี่ยวให้ซอสลดลงครึ่งหนึ่ง
4. ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย และผงปรุงรส ใส่เนยแล้วคนให้ทั่วจนซอสเนียน
5. เทราดบนหมูแฮม พร้อมเสิร์ฟ

Sunday, March 15, 2009

หมูทอดกระเทียม


เครื่องปรุง
- หมูสันนอก
- แป้งมัน
- ซีอิ๊วขาว
- น้ำมันพืช
- กระเทียม
- พริกไทยสด
- รากผักชี
- คื่นฉ่ายหั่นละเอียด
- เกลือ
- เนยจืด
- พริกไทย
- กระเทียมเจียวไม่ต้องเอาเปลือกออก(สำหรับโรยหน้า)

วิธีทำ
1. นำหมูสันนอกหั่นชิ้นหนาพอควรแล้วนำไปทุบให้ชิ้นหมูเสมอกัน
2. โขลกกระเทียม พริกไทย รากผักชีให้ละเอียด
3. นำชามผสมใส่หมูที่ทุบเตรียมไว้ใส่กระเทียมพริกไทยรากผักชีที่โขลกแล้วคลุกกับหมู ให้เข้ากันปรุงรสด้วย ซีอิ้วขาว แป้งมัน หมักไว้ค้างคืน
4. เวลาทอดเขี่ยเอาเศษเครื่องที่หมักออกให้หมดแล้วนำไปทอดในกระทะแบนที่มีน้ำมัน และเนยตั้งไฟให้ร้อนทอดจนกระทั่งสุกเหลือง พักไว้
5. ในอีกกระทะหนึ่งใส่เนยพอร้อน นำพริกไทยสด คึ่นฉ่ายหั่นละเอียด ผัดจนกระทั่งหอม ปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ้วขาว
6. วิธีการจัดจานเสริฟ นำชิ้นหมูที่ทอดแล้ววางบนจาน ราดด้วยเครื่องปรุงรสข้อ 5 โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว และวางข้าง ๆ จานด้วยกระเทียมทอดทั้งหัว

Saturday, March 14, 2009

หมู - เนื้อแช่น้ำปลา


ส่วนผสม
เนื้อวัว 5 ขีด (ควรใช้เนื้อสันในหรือเนื้อสะโพก)
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. นำเนื้อที่เตรียมไว้มาแล่บางๆ
2. นำเกลือ น้ำตาลมาโขลกจนละเอียดแล้วนำมาโรยบนเนื้อให้ทั่วทั้ง 2 ด้าน
3. เสร็จแล้วนำน้ำปลา น้ำมันพืชมาหมักในเนื้ออีกประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นนำมาผึ่งแดดให้หมาด 1-2 แดด
4. แล้วนำไปเก็บในที่โปร่งหรือในตู้เย็นก็ได้แต่ต้องเก็บให้แห้ง เวลาจะทอดก็นำไปหั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ ทอดในกระทะที่มีน้ำมันพอสมควรโดยใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน แต่อย่าทอดนานเดี๋ยวจะเหนียวเกินพอดีไป

หมายเหตุ
สำหรับใครที่ไม่ทานเนื้อก็สามารถดัดแปลงเป็นเนื้อหมูได้

Friday, March 13, 2009

หมี่กะทิ


ส่วนผสม
หมูสับ 1/2 ถ้วย
เต้าหู้ขาวหั่นเส้นใหญ่ 1 ถ้วย
ถั่วลิสงบดหยาบ 1/4 ถ้วย
หัวกะทิ 1 ถ้วย
น้ำสะอาด 1 ถ้วย
พริกแกงเผ็ด 1/4 ถ้วย
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
ผงปรุงรสหมู 2 ช้อนชา
น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนชา
น้ำปลา 1 ช้อนชา
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก
ถั่วงอก
ใบกุยช่าย หั่นท่อน

วิธีทำ
1. ลวกถั่วงอก ใบกุยช่าย และก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กให้สุก พักไว้
2. ผัดน้ำมันพืชและพริกแกงเผ็ดให้สุก เติมกะทิทีละน้อย จนพริกแกงสุกดี
3. ใส่เนื้อหมูสับลงผัดให้สุก เติมถั่วป่น และกะทิที่เหลือ
4. เติมน้ำสะอาด พอเดือด ปรุงรส ใส่เต้าหู้ที่หั่นไว้
5. พอเดือดอีกครั้ง ตักราดบนเส้นก๋วยเตี๊ยวและผักที่ลวกไว้ เสิร์ฟขณะร้อน

Thursday, March 12, 2009

สลัดส้ม


ส่วนผสม
กุ้งแกะเปลือก (ลวก) 10 ตัว
เนื้อส้มซันคิส (หั่น) 1/2 ถ้วย
เนื้อส้มโอ (แกะ) 1/4 ถ้วย
สลัดมิกซ์ 1 ถ้วย
มายองเนส 3 ช้อนโต๊ะ
ครีมงา 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสพริก 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มแอปเปิ้ล 2 ช้อนชา
น้ำต้มสุก 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
เกลือ พริกไทยดำ

วิธีทำ
1. ผสมมายองเนส ครีมงา ซอสพริก น้ำส้มแอปเปิ้ล น้ำต้มสุก และน้ำผึ้งให้เข้ากัน
2. ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยตามชอบ
3. เคล้ากุ้งลวกสุก เนื้อส้มทั้ง 2 ชนิด และน้ำสลัดให้เข้ากัน
4. จัดสลัดมิกซ์ลงภาชนะเสิร์ฟ
5. ตักสลัดกุ้งวางบนผัก เสิร์ฟขณะเย็น

Wednesday, March 11, 2009

ส้มตำลาวใส่มะกอก


“ส้มตำ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน หมายถึง ของกินชนิดหนึ่ง เอาผลไม้มีมะละกอเป็นต้น มาตำประสมกับเครื่องปรุง มีรสเปรี้ยว บางท้องถิ่นเรียก “ตำส้ม”
“ส้มตำ” เป็นอาหารยอดนิยมองคนไทยโดยเฉพาะ คนอีสาน พบได้ทุกสถานที่ โดยเฉพาะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น ทะเล ภูเขา น้ำตก ฯลฯ จะพบอาหารนี้ได้ทุกซอกทุกมุม ซึ่งหารับประทานได้ง่ายตามสถานที่ทั่วไป แม้แต่ตามซอกซอยตามภัตตาคารหรือตามห้างต่าง ๆ เรียกว่า ส้มตำเป็นอาหารจานโปรดของทุกคนเลยก็ว่าได้ ทำเอาพ่อค้า แม่ขาย อาชีพนี้รวยไปตาม ๆ กัน ส้มตำมีหลายประเภท ได้แก่ ส้มตำไทย, ส้มตำไทยใส่ปู, ส้มตำปูใส่ปลาร้า, ส้มตำลาวใส่มะกอก ส้มตำมักรับประทานกับข้าวมันหรือข้าวเหนียว และแกล้มกับผักชนิดต่าง ๆ
“ส้มตำ” เป็นภาษากลางที่ใช้เรียกกันทั่วไป ชาวอีสานเรียก ตำบักหุ่ง หรือ ตำส้ม ส้มตำของชาวอีสานมีความหลากหลายมาก พืชผัก ผลไม้ ชนิดต่าง ๆ ก็สามารถนำมาตำรับประทานได้ทั้งสิ้น เช่น ตำมะละกอ ตำถั่วฝักยาว ตำกล้วยดิบ ตำหัวปลี ตำมะยม ตำลูกยอ ตำแตง ตำสับปะรด ตำมะขาม เป็นต้น
ส้มตำลาวของชาวอีสานจะใส่ผลมะกอกเข้าไปด้วย เพื่อเพิ่มรสชาติ โดยฝานเป็นชิ้นรวมกับส้มตำมะละกอ ช่วยให้รสชาติอร่อยขึ้น ส้มตำลาวเป็นเมนูอาหารหลักของชาวอีสาน รองจากข้าวเหนียว คือ สามารถรับประทานกันได้ทุกวันและทุกมื้อ วัฒนธรรมการกินอาหารอย่างหนึ่งของชาวอีสาน คือ หากมื้อใดมีการทำส้มตำรับประทานก็มักจะเรียกเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมาร่วมกันสังสรรค์ รับประทานส้มตำด้วย บางคนถึงกับบอกว่า ทานคนเดียวไม่อร่อย ต้องทานหลาย ๆ คน หรือแย่งกันทาน เรียกว่าส้มตำรวยเพื่อนก็ไม่ผิดนัก
บางครั้งส้มตำลาวจะอร่อยหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับปลาร้าเป็นสำคัญ ถ้าหากปลาร้าอร่อยมีรสชาติดี ก็จะทำให้ส้มตำลาวครกนั้นมีรสชาติอร่อยไปด้วย ปลาร้าที่ใส่ส้มตำสามารถใส่ได้ทั้งน้ำและตัวปลาร้า หรือบางคนก็ใส่แต่น้ำปลาร้า ใส่เพื่อพอให้มีกลิ่น แล้วแต่คนชอบ แต่ต้องทำให้สุกเสียก่อน ชาวอีสานส่วนใหญ่ยังมีความคิดว่ากินปลาร้าดิบ แซ่บกว่าปลาร้าสุก ด้วยความคิดเช่นนี้จึงทำให้หลายคนกินปลาร้าแล้วได้พยาธิแถมเข้ามาอยู่ในตัวด้วย ถึงแม้ว่าการใช้เกลือประมาณร้อยละ 30 ของน้ำหมักปลาในการหมัก ก็เป็นเพียงการช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้เท่านั้น แต่ยังไม่มีคำยืนยันจากนักวิชาการว่าเกลือสามารถฆ่าพยาธิได้
นอกจากนี้จากผลการวิจัยของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังพบว่าในปลาร้าดิบมีสารที่ยับยั้งการทำงานของวิตามินบีหนึ่ง ซึ่งการที่จะทำให้สารชนิดนี้หมดไปได้ มีวิธีเดียวเท่านั้น คือ การทำให้สุกโดยใช้ความร้อน

เครื่องปรุง
มะละกอสับตามยาว 1 ถ้วย (100กรัม)
มะเขือเทศสีดา 3 ลูก (30 กรัม)
มะกอกสุก 1 ลูก (5 กรัม)
พริกขี้หนูสด 10 เม็ด (15 กรัม)
กระเทียม 10 กลีบ (30 กรัม)
น้ำมะนาว 1-2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ (8 กรัม)
น้ำปลาร้าต้มสุก 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
ผักสด ถั่วฝักยาว กำหล่ำปลี ยอดผักบุ้ง ยอดและฝักกระถิน
ยอดมะยม ชนิดละ 50 กรัม
วิธีทำ
1. โขลกกระเทียม พริกขี้หนู พอแตก
2. ใส่มะละกอ มะเขือเทศผ่าซีก ฝานมะกอกเป็นชิ้นบางใส่ลงโขลกเข้าด้วยกัน
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำปลาร้า น้ำมะนาว โขลกเบา ๆ พอเข้ากัน ชิมรสตามชอบ รับประทานกับฝักสด

สรรพคุณทางยา
1. มะละกอ ผลดิบ ต้มกินเป็นยาบำรุงน้ำนม ขับพยาธิ แก้บิด แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยย่อยอาหาร ขับน้ำดี น้ำเหลือง
2. มะเขือเทศ รสเปรี้ยว เป็นผักที่ใช้แต่งสี และกลิ่นอาหาร ช่วยระบาย บำรุงผิว
3. มะกอก รสเปรี้ยว ฝาด หวาน แก้โรคธาตุพิการ เพราะน้ำดีไม่ปกติ แก้บิด แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน ผลสุกทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ
4. พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อน ช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย
5. กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรียและไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด
6. มะนาว เปลือกผลรสขม ช่วยขับลม น้ำในลูกรสเปรี้ยว แก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต
7. ผักแกล้มต่าง ๆ ได้แก่
- ถั่วฝักยาว รสมันหวาน ช่วยกระตุ้นการทำงานของกระเพาะลำไส้ บำรุงธาตุดิน
- กะหล่ำปลี รสจืดเย็น กระตุ้นการทำงานของกระเพาะลำไส้ บำรุงธาตุไฟ
- ผักบุ้ง รสจืดเย็น ต้มกินใช้เป็นยาระบาย ทำให้อาเจียน เนื่องจากพิษของฝิ่นและสารหนู
- กระถิน รสมัน แก้ท้องร่วง สมานแผล ห้ามเลือด ถ่ายพยาธิ
- มะยม ใบต้มกิน เป็นยาแก้ไอ ช่วยดับพิษไข้ บำรุงประสาท ขับเสมหะ บำรุงอาหาร แก้พิษไข้อีสุกอีใส โรคหัดเหือด
รสและสรรพคุณ
มะละกอดิบ (ผลยาว) มีรสหวาน ปลูกได้ทั่วไปในทุกภาค ออกผลตลอดปี
- ในทางยา ต้นมะละกอ สรรพคุณ แก้มุตกิต ขับระดูขาว
- ดอกมะละกอ สรรพคุณ ขับประจำเดือน ลดไข้
- ราก รสขมเอียน สรรพคุณ ขับปัสสาวะ
- เมล็ดอ่อน สรรพคุณ แก้กลากเกลื้อน
- ยางมะละกอ สรรพคุณ ช่วยกัดแผลรักษาตาปลา และหูด ฆ่าพยาธิหลายชนิด ในการทำอาหาร - ยอดอ่อนนำมาดองและรับประทานเป็นผักได้ ส่วนผลดิบ ปรุงเป็นอาหารหลายชนิด ผลมะละกอดิบ หั่นเป็นชิ้น นึ่งหรือต้มให้สุกและรับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกหรืออาจปรุงเป็นผัดมะละกอ โดยนำผลห่ามหั่นฝอยเป็นชิ้นยาว ๆ ผัดกับไข่และหมูได้ นอกจากนี้เนื้อมะละกอยังนำมาปรุงเป็นแกงส้ม แกงอ่อมได้
มะกอก เมื่อรับประทานทีแรกมีรสเปรี้ยวอมฝาด แต่เมื่อถึงคอแล้วหวานชุ่มคอ อุดมด้วยวิตามินซีใช้เป็นยาฝาดสมาน และแก้โรคลักปิดลักเปิด เปลือกมีกลิ่นหอม ฝาดสมานและเป็นยาเย็นใช้แก้อาการท้องเสีย และโรคที่เกี่ยวกับลำไส้ ระงับอาเจียน ยอดอ่อน
- ใบอ่อนและผลสุกใช้รับประทานเป็นผัก ยอดอ่อนและใบอ่อนออกมากในฤดูฝน และออกเรื่อย ๆ ตลอดปี
- ส่วนผลเริ่มออกในฤดูหนาวผลสุกรสเปรี้ยว เย็น หวาน ฝาด ทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ แก้เลือดออกตามไรฟัน

ในด้านการนำมาทำอาหาร คนไทยทุกภาครู้จักและรับประทานยอดมะกอกเป็นผักสด ในภาคกลางรับประทานยอดอ่อน ใบอ่อน ร่วมกับน้ำพริกปลาร้า เต้าเจี้ยวหลน ชาวอีสานรับประทานร่วมกับลาบก้อย แจ่วป่น และฝานผลเป็นชิ้นรวมกับส้มตำมะละกอ หรือพล่ากุ้งช่วยให้รสชาติอร่อยขึ้น

ประโยชน์ทางอาหาร
ส้มตำ 1 ครก จะมีหลายรสชาติ เช่น เปรี้ยว มัน เค็ม หวาน (น้ำตาลแล้วแต่คนชอบ) ขม (เปลือกมะนาวหรือผลมะกอก) อุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่ให้คุณค่าแก่ร่างกายสูง โดยเฉพาะเมื่อนำมาแกล้มกินกับผัก คนอีสานนิยมรับประทานกับเส้นขนมจีน ว่ากันว่ารับประทานเข้ากันดีนัก สำหรับคนภาคกลางมักจะรับประทานร่วมกับอาหารอื่น ๆ เช่น ส้มตำ – ไก่ย่าง, ลาบ, น้ำตก, ข้าวเหนียว เรียกว่าเป็นเมนูชุดใหญ่โดยมีส้มตำเป็นอาหารหลักเลยทีเดียว ซึ่งก็จะช่วยให้เราได้สารอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์เพิ่มไปด้วย นอกเหนือจากการกินแต่ผักอย่างเดียว
คุณค่าทางโภชนาการ
ส้มตำลาวใส่มะละกอ 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 205 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วยน้ำ 417.77 กรัม โปรตีน 17 กรัม ไขมัน 2.856 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29 กรัม กาก 5.75 กรัม ใยอาหาร 2.67 กรัม แคลเซียม 163.4 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 190.36 มิลลิกรัม เหล็ก 24.27 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 473.9 ไมโครกรัม วิตามินเอ 12243 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.552 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.5 มิลลิกรัม ไนอาซิน 5.545 มิลลิกรัม วิตามินซี 162 มิลลิกรัม

Tuesday, March 10, 2009

ยำส้มโอ


เครื่องปรุง
ส้มโอ 1 ลูก
พริกขี้หนูสด 10 - 20 เม็ด
หอมแดงซอย 5 - 7 หัว
กระเทียมซอย 5 กลีบ
กะปิปิ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
กุ้งแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 - 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลแว่น 1 - 2 แว่น
มะพร้าวคั่ว 1 ถ้วย

วิธีทำ
1. บอกส้มโอแยกเป็นกลีบ แต่ละกลีบปอกเปลือกออก และแยกเนื้อส้มโอออกจากกันอย่า
ให้แตกจะทำให้ยำแฉะ
2. กุ้งแห้งล้างให้สะอาด แช่น้ำพอนิ่มนำขึ้นจากน้ำพักไว้
3. นำกุ้งแห้งใส่ครกตำให้ละเอียด ใส่กะปิ น้ำตาลแว่น กระเทียม ตำให้เข้ากัน
4. นำส้มโอใส่ชามผสม คลุกด้วย กุ้งแห้ง ที่โขลกไว้ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลใส่พริกซอย
หอมซอย บางส่วน คลุกให้เข้ากัน ชิมรสอีกครั้งจึงคลุกด้วยมะพร้าวคั่ว แต่งด้วย หอม
ซอย พริกสดซอยอีกครั้ง

หมายเหตุ
รับประทานเป็นของกินเล่นคู่กับ ใบชะพลู ใบทองหลาง ปนใบขนุน หรือมะยม เป็นต้น

Monday, March 9, 2009

ยำมะระกุ้งสด


เครื่องปรุง

มะระ 1/2 ลูก
กุ้งแชบ๊วย 5 ตัว
หอมแดงซอย 3 หัว
พริกขี้หนู 5 เม็ด
น้ำมะนาว 1 ช้อน
น้ำปลา 1 ช้อน
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
มะเขือเทศ ผักกาดหอม แครอทหั่นฝอย ตกแต่งจาน

วิธีทำ
1. นำมะระที่ผ่าครึ่งตามแนวนอนแล้วหั่นบางๆ ลงลวกในน้ำเดือดจนสุก แล้วตักออกพักไว้
2. เอากุ้งแชบ๊วยที่ผ่าหลังทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วลงไปลวกให้สุกเช่นกัน พักไว้
3. ทำน้ำยำโดย ตำพริกขี้หนูแล้วนำเอาเครื่องปรุงส่วนผสมอื่นๆ มาใส่รวมกัน
4. แล้วนำน้ำยำมาคลุกกับกุ้งและมะระให้ทั่ว ชิมรสชาติให้กลมกล่อม ออกรสเปรี้ยว หวาน เค็ม 5. ตกแต่งจานด้วยมะเขือเทศ ผักกาดหอม และแครอท แล้วเสิร์ฟได้ทันที

สำหรับคนที่กลัวว่ามะระจะขมจัดจนกินไม่ได้นั้นมีคำแนะนำว่า ต้องรอให้น้ำเดือดจัดๆ เสียก่อนแล้วจึงนำมะระไปลวก รับรองว่า “ยำมะระกุ้งสด” จานนี้อร่อยเด็ดแน่ๆ

Sunday, March 8, 2009

ยำเบคอนทอดกรอบ


เครื่องปรุง
เบคอนรมควัน 100 กรัม
สะระแหน่เด็ดใบ ½ ถ้วย
หอมแดงซอย 3 ช้อนโต๊ะ
ผักกาดฉีกชิ้นขนาดพอคำ 1 ต้น

น้ำยำ
พริกขี้หนูซอย 9 เม็ด
น้ำปลา 2½ ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ



วิธีทำ
1. ทำน้ำยำโดยผสมพริกขี้หนู น้ำปลา น้ำตาล และน้ำมะนาว เข้าด้วยกันในถ้วยจนน้ำตาลละลาย
2. ทอดเบคอนให้กรอบ วางบนจานที่รองกระดาษซับน้ำมัน พักไว้
3. ใส่เบคอนทอดกรอบ สะระแหน่ หอมแดง ผักกาดคอส และน้ำยำ ลงในอ่างผสม คลุกเคล้า
เบาๆให้เข้ากันทั่ว ตักใส่จาน เสิร์ฟ

Saturday, March 7, 2009

เมี่ยงปลาทู


ส่วนผสม
ปลาทูนึ่งย่าง แกะเอาแต่เนื้อ 5 ตัว
มะนาวผ่าครึ่งเอาเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 3 ผล
ขิงอ่อนปอก หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ 1/2 ถ้วย
พริกขี้หนูสวนสด 30 เม็ด
ถั่วลิสงคั่ว 1 ถ้วย
หอมแดงปอก หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ 10 หัว
ผักกาดหอม ใบทองหลาง ใบชะพลู

วิธีทำ
1. จัดเนื้อปลาทูที่ย่างดีแล้วลงจาน วางขิงอ่อนหั่นลงไป ถั่วลิสงคั่ววางลงไปอีก หอมแดง พริกขี้หนูสวนวางลงไปเรียงราย มะนาวที่หั่นเป็นชิ้นวางลงไปให้มองดูน่ารับประทาน
2. จัดผักเอามาอีกจานหนึ่ง วางไว้เคียงกัน

เวลารับประทานเอาใบผักมาทำเป็นกรวยถือเอาไว้ ใส่เนื้อปลาทูย่างลงไปชิ้นหนึ่งกำลังพอดีคำ ใส่เครื่องปรุง ขิง ถั่วลิสงคั่ว พริกขี้หนู หอมแดง มะนาว แล้วรวบใบผักห่อเข้าด้วยกัน ใส่ปากเคี้ยวได้ทันที

Friday, March 6, 2009

ปูนิ่มทอดกระเทียม


เครื่องปรุง
- ปูนิ่ม
- แป้งทอดกรอบ
- กระเทียมหยาบ
- พริกไทย

วิธีทำ
1. นำปูนิ่มแช่น้ำ บีบน้ำออก หั่นเป็นชิ้น ขนาดตามที่ต้องการ
2. นำปูที่เตรียมไว้ ใส่กระเทียมสับ พริกไทย คลุกให้เข้ากัน
3. ใส่แป้งทอดกรอบลงคลุกเคล้าให้แป้งพอติด อาจเติมน้ำเล็กน้อย นำลงทอดในน้ำมันพอเหลือง ตักขึ้นรับประทานได้

Thursday, March 5, 2009

เมี่ยงคุณนาย


ส่วนประกอบ
เส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ (แบบยังไม่ตัด) 300 กรัม
เต้าหู้แข็งหั่นเส้น 200 กรัม
เห็ดหูหนูดำหั่นเส้น 50 กรัม
เห็ดหูหนูขาวแช่น้ำหั่น 50 กรัม
เห็ดหอมแช่น้ำหั่น 30 กรัม
ซอสเห็ดหอม 1 ช้อนชา
ผักสลัด 30 กรัม
แครอท 30 กรัม
มะเขือเทศ 30 กรัม
ผักกาดหอม 50 กรัม
ถัวลิสง 50 กรัม

วิธีทำ
1. หั่นเต้าหู้เป็นเส้นตามความยาวของเต้าหู้ หนาประมาณ 1 ซ.ม. * 1 ซ.ม. แล้วนำไปทอดพอเหลืองพักไว้
2. ลวกเห็ดหูหนูดำและเห็ดหูหนูขาว พอสุกพักไว้
3. ผัดเห็ดหอมกับน้ำมัน พอหอมปรุงรสด้วยซอสเห็ดหอม พอเข้ากันพักไว้
4. แผ่เส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วนำส่วนผสมที่เตรียมไว้มาเรียง บนเส้นก๋วยเตี๋ยว ตามด้วยผักสลัดที่เตรียมไว้ แล้วม้วนให้เป็นแท่ง เวลาม้วนต้องระวังอย่าให้เส้นก๋วยเตี๋ยวขาด และพยายามม้วนเส้นก๋วยเตี๋ยวให้แน่น
5. ตัดเป็นคำๆ จัดเสิร์ฟกับน้ำจิ้ม

ส่วนผสมน้ำจิ้ม
พริกขี้หนู
น้ำมะนาว
เกลือ
น้ำตาลทราย
พริกชี้ฟ้าเขียวสับ
พริกชี้ฟ้าแดงสับ

วิธีทำน้ำจิ้ม
ตำน้ำพริกขี้หนูให้ละเอียด ผสมกับน้ำมะนาว เกลือ น้ำตาลทราย และน้ำ คนให้เข้ากัน ใส่พริกชี้ฟ้าสับ ตั้งไฟพอเดือด ทิ้งให้เย็น

Wednesday, March 4, 2009

ปูนิ่มผัดพริกไทยดำ


เครื่องปรุง
- ปูนิ่ม 2 ตัว
- พริกไทยดำป่น 2 ช้อนชา
- กระเทียม 2 ช้อนชา
- เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
- น้ำตาล 1 ช้อนชา
- ต้นหอม 2 ต้น
- หอมหัวใหญ่ 1-4 หัว

วิธีทำ
1. นำปูนิ่มแช่น้ำ หั่นเป็นชิ้นขนาดตามต้องการ
2. นำปูที่เตรียมไว้ลงทอดในน้ำมันพอสุก น้ำขึ้นพักไว้
3. ผัดกระเทียมในน้ำมัน ใส่พริกไทยดำ น้ำตาล เกลือ ปรุงรสตามชอบ นำปูที่พักไว้ลงผัดใส่ผักที่เตรียมไว้ ตักขึ้นรับประทานได้

Tuesday, March 3, 2009

ปูนิ่มชุบเกล็ดขนมปัง


เครื่องปรุง
- ปูนิ่ม 2 ตัว
- แป้งทอดกรอบ 1 ถ้วย
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- เกล็ดขนมปัง 1 ถ้วย

วิธีทำ
1. แช่ปูนิ่มในน้ำ บีบน้ำออก หั่นปูนิ่มขนาดตามที่ต้องการ
2. นำปูนิ่มที่หั่นไปคลุกแป้งเล็กน้อย นำลงชุบในไข่ แล้วนำลงคลุกเคล้าเกล็ดขนมปัง
3. ทอดในน้ำมันที่ร้อนปานกลาง ทอดให้เหลือง กรอบ รับประทานกับน้ำจิ้มหรือสลัด

Monday, March 2, 2009

มัจฉาอัศจรรย์

เครื่องปรุง
ปลาจะละเม็ด 1 ตัว
น้ำมันสำหรับทอด
ขิงซอย 1/4 ถ้วยตวง
หมูสามชั้นหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก 2 ช้อนโต๊ะ
เห็ดฟางลวกสุก 5-7 ดอก
พริกเหลืองแดง หั่นแฉลบ
ซอสหอยนางรม
น้ำตาลทราย
น้ำส้มสายชู
น้ำปลา
กระเทียมสับ
หอมสับ
ต้นหอมหั่นเป็นท่อน
ผักชี
วิธีทำ
1. ปลาเอาเหงือกและไส้ออกทอดให้เหลือง จัดใส่จาน
2. กระทะตั้งไฟใส่น้ำมันเล็กน้อย ใส่กระเทียมและหอมสับให้หอม ใส่หมูลงผัด
3. พอหมูสุกใส่ซอยหอยนางรม ขิงซอย เห็ดฟาง เติมน้ำเล็กน้อย ปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำปลา น้ำส้ม ชิมให้ออกสามรส
4. ใส่ต้นหอม พริกชี้ฟ้า ผัดพอเข้ากัน ตักราดลงบนปลาทอด โรยหน้าด้วยใบผักชีเสิร์ฟ